เหตุผลที่ผู้ป่วยเลือกการผ่าตัดอัณฑะออกโดยไม่ทำช่องคลอด
ผู้ป่วยมักจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการผ่าตัดในระยะยาว
1. ผู้ที่มีแผนทำการผ่าตัดแปลงเพศสมบูรณ์ (Vaginoplasty) ในเร็ว ๆ นี้
-
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความตั้งใจที่จะเข้ารับการผ่าตัดเพื่อยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศแบบครบวงจรในอนาคตอันใกล้
-
เลือกทำออร์คิดเดกโตมีก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดการใช้ยาต้านแอนโดรเจน (Androgen Blockers) ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การอักเสบของตับ หรือความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
-
เมื่อเอาอัณฑะออกแล้ว ระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ประมาณ 95%) ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านแอนโดรเจนในระยะยาวอีกต่อไป
2. ผู้ที่ยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจน แต่คาดว่าจะทำการผ่าตัดแปลงเพศในอนาคต
-
ผู้ป่วยบางรายมีอายุน้อย หรือยังไม่ตัดสินใจเรื่องเวลาที่แน่นอนในการทำ Vaginoplasty
-
จึงเลือกทำออร์คิดเดกโตมีก่อน เพื่อลดภาวะ Gender Dysphoria หรือเพื่อทำให้การรักษาด้วยฮอร์โมนง่ายขึ้น
-
อย่างไรก็ตาม หากการทำ Vaginoplasty ล่าช้าเกินกว่า 1–2 ปี ผิวหนังถุงอัณฑะอาจหดตัว ส่งผลให้ไม่สามารถใช้เป็นเนื้อเยื่อสร้างช่องคลอดได้ และอาจต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การทำ Colon Vaginoplasty หรือ Peritoneal Vaginoplasty (PPV)
3. ผู้ที่ไม่ต้องการทำการผ่าตัดอวัยวะเพศเพิ่มเติม
-
ผู้ป่วยหญิงข้ามเพศบางรายยอมรับการคงอยู่ขององคชาต แต่ต้องการเอาอัณฑะออกถาวร
-
สำหรับกลุ่มนี้ การทำออร์คิดเดกโตมีเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะบรรเทาภาวะ Gender Dysphoria และถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศ
-
แนวทางนี้สอดคล้องกับมาตรฐานการดูแล WPATH SOC-8 ที่รับรองว่าเป็นการรักษาที่เหมาะสมทางการแพทย์
ข้อควรพิจารณาสำคัญ
การผ่าตัดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้
-
เมื่อทำการผ่าตัดออร์คิดเดกโตมีแล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับได้
การสูญเสียความสามารถในการเจริญพันธุ์อย่างถาวร
-
ผู้ป่วยจะไม่สามารถสร้างอสุจิหรือมีบุตรทางสายเลือดได้อีก ยกเว้นมีการเก็บอสุจิแช่แข็ง (Sperm Cryopreservation) ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
ความเสี่ยงที่ผิวหนังถุงอัณฑะหดตัว
-
หากทำออร์คิดเดกโตมีก่อนการผ่าตัดแปลงเพศสมบูรณ์ (Vaginoplasty) เป็นเวลานานเกิน 1–2 ปี ผิวหนังถุงอัณฑะอาจหดตัวและบางลง
-
สิ่งนี้อาจทำให้ไม่สามารถใช้ผิวหนังถุงอัณฑะในการทำ Vaginoplasty ได้ และอาจจำเป็นต้องเลือกใช้วิธีการที่ซับซ้อนกว่า เช่น Colon Vaginoplasty หรือ Peritoneal Vaginoplasty (PPV)
ขั้นตอนการผ่าตัดโดยละเอียด
ที่โรงพยาบาล WIH International การผ่าตัดออร์คิดเดกโตมี (Orchidectomy) ดำเนินการด้วยเทคนิคที่พิถีพิถัน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและเพื่อรักษาทางเลือกในการผ่าตัดอื่น ๆ ในอนาคต
การให้ยาสลบ
-
การผ่าตัดสามารถทำได้ภายใต้การดมยาสลบ (General Anesthesia) หรือการให้ยานอนหลับแบบ Twilight Sedation (ยากล่อมประสาททางหลอดเลือดดำร่วมกับยาชาเฉพาะที่)
-
ทีมวิสัญญีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัย ความสบาย และการฟื้นตัวที่ราบรื่นที่สุด
การเปิดแผลผ่าตัด (Incision)
-
ตำแหน่งแผลที่แนะนำคือกึ่งกลางของถุงอัณฑะ (Midline Scrotal Incision) ซึ่งช่วยให้เห็นโครงสร้างได้ชัดเจน ลดรอยแผลเป็นที่สังเกตได้ และยังคงสภาพเนื้อเยื่อรอบข้างไว้ได้อย่างเหมาะสม
การนำอัณฑะและสายอสุจิออก
-
ทำการเลาะแยกและผูกสายอสุจิ (Spermatic Cord) ให้ใกล้กับขอบด้านนอกของช่องขาหนีบมากที่สุด เพื่อลดโอกาสที่ร่างกายยังคงสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนตกค้าง
องค์ประกอบของสายอสุจิ (Spermatic Cord Contents)
-
สายอสุจิประกอบด้วยท่อนำอสุจิ (Vas Deferens), หลอดเลือดอัณฑะ (Testicular Artery และ Pampiniform Plexus of Veins) รวมถึงเส้นประสาท
-
การเลาะทำอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บต่อโครงสร้างรอบข้าง
การจัดการพยาธิสภาพที่พบร่วม (Concurrent Pathology Removal)
-
หากพบความผิดปกติ เช่น เส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ (Varicocele) หรือก้อนไขมันที่สายอสุจิ (Lipoma of the Cord) สามารถตัดออกได้ภายในการผ่าตัดเดียวกันอย่างปลอดภัย
การป้องกันอาการปวดเรื้อรัง (Pain Prevention)
-
ใช้เทคนิคการตัดด้วย Cautery (ไฟฟ้าจี้) เพื่อลดความเสี่ยงการเกิด Neuroma ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดประสาทเรื้อรังในอนาคต
การคงไว้ซึ่งผิวหนังถุงอัณฑะ (Scrotal Skin Preservation)
-
ในทุกกรณี ผิวหนังถุงอัณฑะจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้ในหัตถการเพื่อยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศในอนาคต เช่น การทำ Skin-Graft Vaginoplasty
การดูแลหลังผ่าตัด (Post-operative Care)
-
หลังการผ่าตัดจะทำการพันผ้ากดบริเวณถุงอัณฑะทันที เพื่อลดการตกเลือดและป้องกันอาการบวมเป็นเวลานาน ช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยมากขึ้น